ประวัติซิฟิลิส

ประวัติซิฟิลิส โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเกิดจาก การติดเชื้อแบคทีเรีย โรคซิฟิลิส ยังสามารถรักษา ให้หายขาดได้ด้วย การฉีดยาปฏิชีวนะ แต่หากผู้ป่วย ปล่อยทิ้งไว้ ไม่เข้ารับการรักษา เป็นเวลานาน อาจมีการแสดงอาการ ในหลายระบบของร่างกาย และอาจร้ายแรง กว่าโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ

ซึ่งโรคนี้ จะเป็นโรค ที่มีระยะแฝงตัว ที่ค่อนข้างนาน และยังสามารถแพร่ ไปสู่คู่นอนได้ โดยโรคนี้ เป็นโรคที่พบได้บ่อย รองจากโรคหนองในแท้ และหนองในเทียม สามารถพบได้ ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง

ซิฟิลิส มีต้นกำเนิด มาจากที่ใดนั้น ยังไม่มีใครรู้ หรือทราบได้แน่ชัด แต่จากการศึกษา พบว่ามี 2 ทฤษฎี ที่มีการกล่าวถึง ต้นกำเนิดของโรคนี้ คือ ในทฤษฎีแรก โรคซิฟิลิส เป็นโรคที่เกิด ในเขตร้อน โดยมาจากการ ค้าทาสจากแอฟริกา ไปยังยุโรป และทวีปอเมริกา

ในทฤษฎีที่สอง โรคซิฟิลิส มีต้นกำมาจาก ทวีปอเมริกา โดยลูกเรือ ของโคลัมบัส นักสำรวจ ทางทะเลชื่อดัง และเป็นผู้ที่ค้นพบ ทวีปอเมริกา แล้วยังนำโรคซิฟิลิส มาระบาดในยุโรปอีกด้วย

โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคที่เกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย ที่ชื่อว่า ทรีโพนีมา พัลลิดุม (Treponema pallidum) โดยเชื้อ จะเข้าสู่ร่างกาย ได้ผ่านทางบาดแผล หรือรอยขีดข่วน ที่เกิดขึ้นตามร่างกาย และเยื่อบุต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว หากร่างกายของเรา ได้รับเชื้อซิฟิลิสแล้ว อาการของโรคจะสามารถ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ

1. ระยะที่ 1 ร่างกายของเรา จะปรากฏ แผลขนาดเล็ก เรียกว่า แผลริมแข็ง (Chancre) ซึ่งเป็นแผล ที่ไม่ก่อให้เกิด อาการเจ็บปวดใด ๆ จะมีลักษณะเรียบ แข็งขึ้นตามร่างกาย โดยเฉพาะ ที่อวัยวะเพศ ริมฝีปาก หลังจากที่ได้รับเชื้อมาแล้วประมาณ 3 สัปดาห์ ก่อนที่แผลนั้นจะหายไป

ในระยะแรกนี้จะเป็นระยะที่ผู้ติดเชื้อยังนิ่งนอนใจ เพราะอาจคิดว่าเชื้ออาจหายไปเองโดยที่ไม่ต้องเข้ารับการรักษา

2. ระยะที่ 2 ในระยะนี้หลังจากที่ได้ผ่านระยะแรกมาได้แล้วประมาณ 1-3 เดือน ผู้ป่วยที่ติดเชื้ออาจจะมีผื่นขึ้นตามร่างกาย จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูน ๆ บริเวณ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า อวัยวะเพศ และอื่น ๆ เช่น ขาหนีบ ทวารหนัก ช่องปาก

และอาจมีอาการแสดงให้ได้สังเกตุ เช่น เป็นไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม ผมร่วง น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น อาการเหล่านี้จะหายไปโดยที่ไม่ต้องเข้ารับการรักษาก็ได้

อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยที่มีอาการในระยะสงบ (Latent Syphilis) คือ จะเป็นช่วงที่ไม่ปรากฏอาการแสดงออกมาให้เห็น แต่ผู้ป่วยก็ยังมีเชื้ออยู่ภายในร่างกาย และยังสามารถตรวจพบเชื้อได้

3. ระยะที่ 3 ในระยะนี้ หากผู้ป่วย ไม่เข้ารับการรักษา ร่างกายอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ที่เส้นประสาท สมอง หรืออวัยวะ ภายในร่างกาย ที่อาจมีเชื้ออยู่ได้ และอาจจะนำไปสู่ ภาวะที่ร้ายแรงอื่น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น อาจทำให้ตาบอด สมองเสื่อม อัมพาต ไร้สมรรถภาพทางเพศ และอาจเสียชีวิตลงได้ในที่สุด

ประวัติซิฟิลิส จากที่กล่าวมา โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคหนึ่ง ที่ร้ายแรงเป็นอย่างมาก ซึ่งหากใครที่ได้รับความเสี่ยงมาแล้ว นิ่งนอนใจ ไม่ทำการตรวจ ไม่เข้ารับการรักษา อาจเกิดอาการรุนแรงขึ้น จนทำให้เสียชีวิตลงได้ ทั้งนี้หากใคร ที่มีความเสี่ยงมาแล้วไม่กล้าไปตรวจ ตามสถานพยาบาล หรือคลินิก เพราะความเขินอายต่อสายตาผู้คนมากมาย แนะนำให้หาชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเอง ที่มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน มาทำการ ตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้นก่อน

เพราะหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้เข้ารับการรักษาได้ทัน อย่างไรก็ตามชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเอง เป็นเพียงการตรวจคัดกรอง เบื้องต้นเท่านั้น หากทำการตรวจพบ หรือไม่พบ ก็ให้ทำการตรวจซ้ำอีกครั้ง เพื่อยืนยันผลการตรวจ