ซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม

โรค ซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม ซิฟิลิส กับเอดส์ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือกามโรค ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน โดยปริมาณผู้ป่วยนั้นเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จากในอดีตที่สงบลงแล้ว และตอนนี้กลับมาระบาดอีกครั้ง

โรคซิฟิลิส เกิดจากอะไร ?
ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Treponema pallidum โดยมีขนาดเล็กมาก หากส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์จะเห็นลักษณะของแบคทีเรียเป็นเกลียวสว่าน และสามารถอาศัยอยู่ได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย

โรคเอดส์ เกิดจากอะไร ?
เอดส์ (AIDs) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ย่อมาจากคำว่า human immunodeficiency virus ซึ่งจริงๆ แล้ว เราจะเรียกว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี แต่ที่เรียกว่าผู้ป่วยเอดส์ คือ อาการในระยะสุดท้ายของผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นระยะที่เสี่ยงเสียชีวิตมากที่สุด

อาการของโรคซิฟิลิส

ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum อันเป็นสาเหตุให้เกิดโรคซิฟิลิส อาจไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้นเลย และอาการอาจแสดงให้เห็นในระยะสุดท้าย หากอาการของโรคแสดง จะสามารถแบ่งเป็น 3 ระยะหลักๆ ได้ ดังนี้
– ซิฟิลิส ระยะแรก : เด่นชัดเรื่อง ตุ่มและแผลริมแข็ง (ช่วงประมาณ 10 – 90 วัน หลังจากได้รับความเสี่ยง ที่อาจจะเกิดอาการ)
มักจะพบบริเวณอวัยวะเพศ หรือบริเวณที่สัมผัสกับเชื้อ โดยแรกๆ เป็นตุ่มเล็ก และแตกออกเป็นแผล ขอบนูน แข็ง แดง แต่ไม่เจ็บ และบางครั้งมักซ่อนอยู่ เกิดและหายได้เอง ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อซิฟิลิส
– ซิฟิลิส ระยะที่สอง : ผื่น แดงๆ ออกดำ น้ำตาล มักขึ้นตาฝ่ามือ ฝ่าเท้า
เริ่มเกิดขึ้น เมื่อแผลในระยะที่หนึ่งหาย มักจะเกิดขึ้นตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า และบางครั้งก็ขึ้นตามตัว แต่ผื่นนี้ก็สามารถหายไปได้เอง ในระยะที่สองนี้อาจะเรียกได้ว่า ระยะออกดอก
หลังจากระยะนี้หายไปเองแล้ว อาจจะไม่มีอาการเกิดขึ้นอีกเลยเป็นปี
– ระยะที่สาม : :ทำลายอวัยวะภายใน
หลังจากเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดซิฟิลิส อาศัยอยู่ในร่างกายมากนานหลายปี มันก็จะลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำลายอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง จนอาจทำให้พิการอัมพาต ไม่สามารถกลับเป็นปกติได้ และเสียชีวิต

อาการของโรคเอดส์

อาการของโรคเอดส์อาจไม่ได้มีแสดงออกให้เห็นชัดนัก แต่หากเป็นอาการในระยะสุดท้ายมักจะเดาได้ว่าคุณอาจป่วยเป็นโรคเอดส์ สามาระแบ่งระยะของโรคได้เป็น 3 ระยะหลักๆ ดังนี้

– ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infectious) เกิดขึ้นที่ 2-4 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ
อาการที่เกิดขึ้นจะคล้ายๆ เป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาจมีผื่นและปวดหัว ระยะนี้ ไวรัสจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดอาการดังกล่าว เพราะร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อเอชไอวีที่กำลังทำลายระบบภูมิคุ้มกัน
– ระยะสอง คือ ระยะสงบทางคลินิก (Clinical Latency Stage) เชื้อไวรัสยังคงอยู่ในร่างกาย แต่ไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 10 ปี
– ระยะสุดท้าย คือ ระยะโรคเอดส์ (AIDS) เป็นระยะที่การติดเชื้อเอชไอวีได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์
ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจทำให้ติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย และเสี่ยงเสียชีวิต

โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้
โดยหากพบในระยะแรก มักจะรักษาให้หายได้ง่ายๆ แต่หากติดเชื้อมานานแล้วอาจจะต้องรักษาอย่างเข้มข้น โดยโรคนี้ไม่สามารถรักษาได้ด้วยตนเอง ไม่สามารถซื้อยาทานเองได้ ต้องรักษาโดยแพทย์เท่านั้น อย่างไรก็ตามหากรักษาหายแล้ว ก็ต้องกลับมาตรวจซ้ำอีกทุก 3 เดือน และควรงดการมีเพศสัมพันธ์ไปจนกว่าแพทย์จะอนุญาต

เอดส์ หรือเอชไอวี ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
การรักษาโรคเอดส์ในปัจจุบันยังคงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ยังคงเป็นการรับประทานยาต้านไวรัสเพื่อกดโรคให้เพิ่มจำนวนขึ้น และให้มีปริมาณน้อยที่สุด โดยปัจจุบันมีการวิจัยจากต่างประเทศ ในคู่รักที่มีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี พบว่าหากทานยาต้านไวรัสมาระยะเวลาหนึ่ง และมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของตนเองโดยไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย พบว่าคู่ของตนเองนั้นไม่ติดเชื้อเอชไอวี

แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีงานวิจัยดังกล่าวใน และการวิจัยนั้นอยู่ในความดูแลจากผู้เชี่ยวชาญจึงไม่แนะนำให้นำมาปฏิบัติ ผู้ป่วยและทุกๆ คน ควรสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์

สรุป ซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม
จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด ซิฟิลิส กับเอดส์ นั้นเป็นคนละโรคกัน ซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และโรคเอดส์เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยอาการของโรคนั้นก็มีความแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้น คือ ช่องทางการติดต่อ สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ จากแม่สู่ลูก ส่วนการรักษา โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายได้ แต่เอดส์ไม่สามารถรักษาให้หายได้

เป็นโรคซิฟิลิส ก็เสี่ยงเป็นโรคเอดส์
จากข้อมูลทางการแพทย์ ผู้ที่ตรวจพบว่าป่วยด้วยโรคซิฟิลิส มักจะตรวจพบโรคเอชไอวีด้วยเสมอ และผู้ป่วยที่มีแผลซิฟิลิสมัก เสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ กว่า 2-5 เท่า แสดงว่าการมีแผลซิฟิลิสทำให้สามารคติดเชื้ออื่นๆ ได้ง่ายขึ้น

การป้องกันโรคติดต่อที่ดีที่สุด คือ การสวมใส่ถุงยางอนามัยเมื่อต้องการมีเพศสัมพันธ์ และระมัดระวังตนเสมอ ไม่ทำพฤติกรรมเสี่ยงอันจะก่อให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ