ตรวจเอดส์ 14 วัน ผล ที่ได้จะน่าเชื่อถือหรือไม่ และสามารถตรวจได้ด้วยวิธีใดบ้าง

เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) แน่นอนว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งหากร่างกายของเราได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าไปแล้ว เชื้อจะกระจายไปทั่วร่างกาย และทำลายระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจนบกพร่อง ทำให้ร่างกายของเรานั้นอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่าย

 

ซึ่งวิธีเดียวที่จะทำให้เรารู้ว่าร่างกายติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่นั้น จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโดยเฉพาะ นั่นก็เพราะว่าผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อเอชไอวี เนื่องจากว่าสัญญาณของโรคในระยะเริ่มแรกนั้นจะยังไม่ปรากฏให้เห็นได้ชัดเจน

 

ในปัจจุบันนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี จนส่งผลให้เชื้อเอชไอวีพัฒนาเป็น โรคเอดส์ เมื่อถึงตอนนั้นภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายก็ได้ลดลงอย่างมาก ทำให้มีอาการเจ็บป่วยอย่างหนักจนไม่สามารถทำการรักษาได้ ไม่เพียงเท่านั้นผู้ป่วยยังมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวได้

 

วิธีการตรวจเอดส์ในสมัยปัจจุบันนี้โดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 4 วิธีด้วยกัน คือ

– การตรวจแบบ Antibody HIV เป็นการตรวจหาภูมิคุ้นกันที่สร้างขึ้นต่อเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะสามารถตรวจได้หลังมีความเสี่ยงมาแล้วประมาณ 21 วันขึ้นไป

 

– การตรวจด้วยชุดตรวจ Forth Generation (GEN 4) เป็นวิธีการตรวจที่สามารถตรวจหา ได้ทั้งภูมิคุ้นเคย (Antibody) และ ชิ้นส่วนของเชื้อ (Antigen) วี ซึ่งจะสามารถตรวจได้หลังมีความเสี่ยงมาแล้วประมาณ 14 วันขึ้นไป

 

– การตรวจแบบ NAT (Nucleic Acid Technology) วิธีการตรวจนี้จะเป็นวิธีการตรวจเสริมร่วมกัน กับการตรวจแบบ Antibody โดยจะเป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไอวี สามารถตรวจ ได้หลังมีความเสี่ยงมาแล้ว 5-7 วันขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันนี้ได้นำเทคนิควิธีนี้ไปใช้สำหรับตรวจในผู้มาบริจาคเลือด เท่านั้น

 

– การตรวจแบบ PCR วิธีการนี้เป็นการ ตรวจหาสารพันธุกรรมใน ตัวเชื้อเอชไอวี ซึ่งสามารถ ตรวจได้ หลังมีความเสี่ยงตั้งแต่ 14 วันขึ้นไป

 

ดังนั้น ตรวจเอดส์ 14 วัน ผล ปัจจุบันนี้ การตรวจหาเชื้อเอชไอวี ที่ระยะเวลาเสี่ยง 14 วัน สามารถตรวจหาได้ด้วย 3 วิธีที่กล่าวมา คือ Forth Generation, การตรวจแบบ NAT และการตรวจแบบ PCR

 

แต่การ ตรวจที่ง่ายที่สุด ซึ่งประชาชน สามารถตรวจได้ ด้วยตนเองในตอนนี้ คือ การตรวจเอชไอวี ด้วย ชุดตรวจ HIV แบบ Self-Test

หรือตรวจด้วย ตัวเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน และในปัจจุบัน ชุดตรวจHIVด้วยตัวเองนี้ จะมีอยู่ 2 เทคนิควิธีด้วยกัน คือ

  1. ชุดตรวจ Gen 3 ที่ตรวจหาแอนติบอดี (Antibody) ที่มีต่อเชื้อเอชไอวี สามารถตรวจได้เมื่อมีความเสี่ยงมามากกว่า 21 วันขึ้นไป
  2. ชุดตรวจ Gen 4 ที่ตรวจหาแอนติเจน (p24 antigen) ของเชื้อ และตรวจหาแอนติบอดี (Antibody) ได้ในชุดตรวจเดียว ซึ่งจะเริ่มตรวจเจอเชื้อได้หลังได้รับเชื้อมาแล้วประมาณ 14 วัน

 

ในทางการแพทย์นั้นจะไม่มีการยืนยันว่า 100% จะสังเกตเห็นได้จากการทดสอบต่าง ๆ ที่ถ้าหากชัวร์สุดก็จะมีเพียง 99.99% อย่างไรก็ตาม หากต้องการตรวจเอดส์ที่ 14 วัน ผลที่ได้ก็จะน่าเชื่อถือตามมาตรฐานชุดตรวจแบรนด์นั้น ที่ทางแบรนด์ทดสอบมาแล้ว ซึ่งในไทยนั้นมีการตั้งเกณฑ์การทดสอบชุดตรวจเอชไอวีไว้ ให้มีประสิทธิภาพมากกว่า 99%

 

ดังนั้น หากผู้ตรวจนับวันเวลาเสี่ยงมาอย่างถูกต้อง ตรวจในเวลาที่เหมาะสม ใช้งานอย่างถูกต้อง ชุดตรวจไม่หมดอายุ
มีเลขขออนุญาตอย.ไทย ก็สามารถมั่นใจได้แล้ว ว่าปลอดภัย หากผลตรวจเป็นลบ แต่ถ้าหากไม่มั่นใจก็สามารถตรวจซ้ำได้
ที่ระยะเวลาเสี่ยงนานขึ้น และสามารถตรวจได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะมั่นใจ

 

สำหรับใครที่ไปได้รับความเสี่ยงมาแล้ว หรือคิดว่าตนเองมีความเสี่ยง ก็สามารถหาซื้อ ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง มาทำการตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเอง เพื่อคลายความกังวลใจ ซึ่งปัจจุบันนี้มี ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง วางจำหน่าย ให้ประชนชาทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย

โดยชุดตรวจจะมีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน สามารถรู้ผลได้ใน 15-20 นาที เพราะการตรวจเจอเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ นอกจากช่วยคลายความกังวลใจ หรือช่วยให้เรารู้ตัวเร็ว ก็มีโอกาสในการเข้ารับการรักษาได้เร็ว และรับยาต้านได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แถมยังได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนปกติทั่วไปโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย

และยิ่งไปกว่านั้นหากมีความเสี่ยงในการรับเชื้อติดต่อ โรคทางเพศสัมพันธ์ อื่น ๆ ก็ควรจะตรวจให้ครบ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต